Learn with Prin เรียนรู้ไปพร้อมกับน้องปริญญ์

จำหน่ายผลิตภัณฑ์ Legacy /Reborn Set ลด Fat ตัวช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบถูกวิธี 🔥 ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ 📍 โทร ☎️ :: 084-110-5021 🌸 Line ID :: pla-prapasara 🌸 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะทาง Line นะคะ 📍

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สัญญาณการดิ้นของทารกในครรภ์บอกอะไร

สัญญาณการดิ้นของทารกในครรภ์บอกอะไร
สัญญาณการดิ้นของทารกในครรภ์บอกอะไร








ทำไมทารกในครรภ์ต้องดิ้น?


การดิ้นของทารกในครรภ์ บอกอะไรเราหลายอย่าง ที่แน่ๆ ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ การดิ้นของทารกในแต่และช่วงเวลา และช่วงอายุครรภ์ อาจแสดงให้เห็นในแบบต่างๆ กัน เช่น ในช่วงไตรมาสแรก คุณแม่แทบไม่ทราบเลยว่าลูกมีการดิ้นเกิดขึ้นแล้ว โดยเด็กจะเริ่มดิ้นตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 6 - 7 สัปดาห์ จะเห็นก็จากตอนที่คุณหมอทำการตรวจอัลตราซาวด์ให้ดู เด็กจะมีการเคลื่อนไหวของแขนขา กระโดดเด้งตัว ลอยไปลอยมาในถุงน้ำคร่ำ เนื่องจากลูกยังเล็กมาก จึงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกรับรู้ในท้องแม่ เนื่องจากการที่แม่ท้องจะรับรู้การดิ้นของลูกได้ ต้องมีอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด ของทารกสัมผัสโดยตรงกับผนังมดลูกแม่ ซึ่งต้องมีความแรงพอสมควร ที่ทำให้แม่รับรู้ได้ ดังนั้นในช่วงเล็กๆ เด็กทารกตัวเล็ก จึงไม่ได้ดิ้นแรงพอให้แม่รู้สึกได้ ต้องรอให้ทารกขนาดใหญ่ขึ้น จนมีแรงดิ้นแรงพอให้แม่รู้สึกได้ การดิ้นบางครั้งเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอกที่มากระตุ้น เช่น เสียงเพลง แสง หรือการสัมผัสที่ท้องของพ่อและแม่ จะเห็นว่าลูกมีการตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่ออวัยวะรับสัมผัสเหล่านี้เริ่มพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ลูกจะได้เรียนรู้ และตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ที่มากระตุ้น เพื่อสร้างให้เกิดพัฒนาการของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์





ทารกในครรภ์เริ่มดิ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?


นท้องแรกที่แม่ยังไม่มีประสบการณ์การตั้งครรภ์มาก่อน ดังนั้นการรับความรู้สึกว่าลูกดิ้น ในครรภ์แรก (ท้องแรก) จะตกประมาณอายุครรภ์ 18 - 20 สัปดาห์ ส่วนในท้องหลังที่แม่มีประสบการณ์ตั้งครรภ์มาแล้ว จะรับรู้ความรู้สึกลูกดิ้นได้เร็วขึ้น 2 - 4 สัปดาห์ คือประมาณ 16 - 18 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆที่อาจมีอิทธิพลต่อการรับรู้การดิ้นของทารกในครรภ์ เช่น ปริมาณน้ำคร่ำ ถ้าน้ำคร่ำปริมาณมาก ผนังหน้าท้องจะตึง โอกาสที่ส่วนของทารกสัมผัสกับผนังมดลูก ก็น้อยกว่าในภาวะน้ำคร่ำที่น้อย โอกาสรับรู้การดิ้นก็น้อยลง ความหนาของผนังหน้าท้องแม่ ในแม่ที่หน้าท้องหนา (ท้วมหรืออ้วน) ก็รู้สึกรับรู้การดิ้นน้อยกว่าแม่ที่ผนังหน้าท้องบาง รวมถึงตำแหน่งการเกาะของรก ถ้ารกเกาะขวางทางด้านหน้า เสมือนเพิ่มความหนาของผนังหน้าท้อง การรับรู้การดิ้นก็น้อยลง นอกจากนี้ท่าทางของลูกในท้อง รวมถึงขนาดและจำนวนของทารกในครรภ์ ก็มีผลต่อการรับรู้ของแม่ต่อการดิ้นของลูกในท้อง นอกจากนี้การที่แม่เคยไปรับการตรวจอัลตราซาวด์ดูทารกในครรภ์มาก่อน การได้เห็นทารกที่กำลังดิ้นขณะตรวจ ก็จะทำให้แม่เห็นภาพและเข้าใจรับรู้ถึงการดิ้นของลูกได้เร็วขึ้นเช่นกัน





การที่ทารกสะอึก เป็นการดิ้นหรือไม่?


การสะอึกของทารกในครรภ์ (hiccups) เป็นการเคลื่อนไหวแบบหนึ่งที่ดูเหมือนการดิ้น แต่ไม่นับว่าเป็นลูกดิ้น เป็นการเคลื่อนไหวแบบกระตุก เป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ ระยะห่างประมาณ 1 วินาที ถ้าได้เห็นจากการตรวจอัลตร้าซาวด์ จะเห็นผนังทรวงอกมีการหดเกร็งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จนบางคนคิดว่าเป็นการเต้นของหัวใจ (โดยปกติการเต้นของหัวใจทารกจะมีอัตรา 120-160 ครั้งต่อนาที เฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อ วินาที ซึ่งเร็วกว่าอัตราการสะอึกมาก และเสียงหัวใจไม่สามารถรับรู้หรือได้ยินด้วยหูปกติ จะเห็นว่าหมอต้องใช้หูฟัง หรือเครื่องตรวจเสียงหัวใจลูกมาขยายสัญญาณเสียงหัวใจลูกเป็นสิบเป็นร้อยเท่าจึงจะได้ยินเสียงหัวใจลูกเต้นได้) อาการสะอึกของทารกในครรภ์ เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ ขณะอายุครรภ์ประมาณ 28-32 สัปดาห์ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการพัฒนาการของระบบหายใจของทารกในครรภ์ที่เริ่มทำงาน เมื่อมีการหายและกลืนน้ำคร่ำที่ไม่สัมพันธ์กัน เด็กก็จะเกิดอาการสะอึก เหมือนอาการสะอึกของผู้ใหญ่เช่นกัน ไม่ต้องทำอะไร สักพักอาการสะอึกจะหายไปเอง ไม่ถือว่าเป็นอาการที่ผิดปกติ แต่ไม่นับเป็นลูกดิ้น





ควรนับลูกดิ้นหรือไม่ และเริ่มนับตั้งแต่เมื่อไหร่ ?


โดยปกติในช่วงอายุครรภ์เล็กๆ การเคลื่อนไหวของทารกเป็นแบบไร้ทิศทาง ไม่มีแบบแผน เป็นเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อระบบประสาทต่างๆพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป จนถึงระบบประสาทที่พัฒนาสมบูรณ์เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 32 สัปดาห์ ดังนั้นหลัง 32 สัปดาห์เป็นต้นไป การนับการดิ้นก็สามารถบ่งบอก หรือช่วยในการประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ได้ว่าเด็กยังปกติ มีสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่ จะเห็นได้จากการประเมินสุขภาพของสูตินรีแพทย์อันหนึ่งที่เรียกว่า BPP (Biophysical Profile) โดยการใช้เครื่องตรวจอัลตร้าซาวด์ติดตามการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ โดยดูจาก การหายใจ (Fetal breathing) การเคลื่อนไหวของทารกทั้งลำตัวและแขนขา (Fetal movement) การยืดหดของอวัยวะที่เป็นข้อพับ เช่น มือ ขา หรือนิ้ว (Fetal tone) ร่วมกับปริมาณน้ำคร่ำ (AF: Amniotic fluid) และการตรวจเคลื่อนเสียงหัวใจลูก (NST: Non-stress test) สามารถบอกถึงสุขภาพทารกในครรภ์ ในระยะ 7 วันข้างหน้านับจากวันที่ทำการตรวจได้ ดังนั้นการนับลูกดิ้นก็เช่นกัน ควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนได้ริ่มนับตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ หรือเริ่มตั้งแต่ 28 สัปดาห์ในรายที่ตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูง (High risk pregnancy)เช่น แม่ที่เป็นเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง เนื่องจากการนับลูกดิ้นทำโดยแม่ ที่มีความใกล้ชิดลูกมากที่สุด เพราะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำ แต่ผลที่ได้ช่วยลดปัญหาในเรื่องทารกเสียชีวิตในครรภ์ลงได้ เนื่องจากเด็กที่อยู่ในท้อง ถ้ามีปัญหาสุขภาพไม่ดีหรือป่วย เด็กพวกนี้ไม่ได้เสียชีวิตในทันที จะค่อยๆซึมและดิ้นน้อยลง ถ้าเราให้ความสำคัญและนับการดิ้นของลูกอยู่เป็นประจำ ก็จะสามารถทราบการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติได้จากการดิ้น เช่น ดิ้นน้อยลงหรือดิ้นน้อยกว่าปกติ ก่อนที่ลูกจะเสียชีวิตในครรภ์ได้





วีธีการนับลูกดิ้นทำอย่างไร?


วิธีการนับลูกดิ้นมีหลายวิธี แต่ที่แนะนำให้ปฏิบัติง่ายๆ มี 2 วิธี โดยทั้งสองวิธีมีการเตรียมตัวเหมือนกันโดย เลือกเวลาที่เราว่าง หรือ สะดวกในการนับ ไม่จำเป็นต้องเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน จะเป็นเวลาเช้า กลางวัน เย็น หรือ ก่อนนอนก็ได้ โดยเวลานับต้องอยู่ในท่าพัก เช่น นั่งหรือนอนในท่าสบายๆ ไม่เดินไปเดินมา หรือทำกิจกรรมที่รบกวนการนับ การนับการดิ้นให้รวมการ เตะ (Kick) การยืดหรือบิดตัว (stretches) การหมุนตัว (rollovers) ยกเว้น การสะอึก (hiccups) ที่ไม่นับป็นลูกดิ้น การนับถ้าลูกดิ้นติดกันเป็นชุด ให้ถือเป็น 1 ครั้ง ควรมีการบันทึกการดิ้นไว้เป็นตารางตามตัวอย่างที่แสดง และนำมาให้แพทย์ดูผลทุกครั้งที่มารับการฝากครรภ์ ส่วนวิธีการนับเลือกวิธีที่เราสะดวกได้จาก 1 ใน 2 วิธีดังนี้
1. การนับลูกดิ้นใน 1 ชั่วโมง ของ Rayburnเป็นการนับว่าในเวลา 1 ชั่วโมง ลูกดิ้นได้กี่ครั้ง โดยถ้าดิ้นได้ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ถือว่าปกติ ถ้านับได้น้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมง ให้นับต่ออีก 1 ชั่วโมงที่ติดกันทันที เพราะบางครั้งแม่ไปนับในชั่วโมงที่ลูกหลับ ลูกอาจไม่ดิ้น แต่เด็กในท้องมีรอบการหลับตื่นไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นในชั่วโมงถัดมาลูกต้องตื่นให้เรานับแน่ๆ แต่ถ้าชั่วโมงแรกนับได้น้อยกว่า 3 ครั้ง ชั่วโมงถัดมาก็ยังน้อยกว่า 3 ครั้ง แสดงว่านับได้น้อยกว่า 3 ครั้งติดกัน 2 ชั่วโมง ให้รีบมาพบแพทย์ทันที
 
 
ตัวอย่าง
วันที่
เวลาที่นับ
จำนวน
รวม
เช่น 11/10/2554
09.00-10.00 น.
IIII
4
2. การนับ Count to 10 ของ Picquadio and Mooreเป็นการนับลูกดิ้นให้ครบ 10 ครั้ง แล้วดูว่าใช้เวลาเท่าไร จากการดิ้นครั้งแรกจนถึงครั้งที่ 10 โดยแบ่งช่วงเวลาเป็น 15(A), 30(B), 45(C),60(D) และมากกว่า 60 นาที(F) โดยเหมือนกับวิธีแรก ถ้าใช้เวลาดิ้นครบ 10 ครั้งมากกว่า 1 ชั่วโมง (F) ให้นับใหม่ในอีก 1 ชั่วโมงติดกันทันที (ลูกอาจหลับ) ถ้ายังใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงอีกครั้ง (F) ถือว่าผิดปกติ (FF) ให้รีบมาพบแพทย์ทันที

 
 
ตัวอย่าง
สัปดาห์ที่
อาทิตย์
จันทร์
อังคาร
พุธ
พฤหัสบดี
ศุกร์
เสาร์
9-15/10/54
A B C D FA B C D FA B C D FA B C D FA B C D FA B C D FA B C D F
A B C D FA B C D FA B C D FA B C D FA B C D FA B C D FA B C D F




การนอนตะแคงแล้วลูกดิ้นมาก เป็นเพราะเราไปนอนทับลูกใช่หรือไม่?


การนอนตะแคงแล้วรู้สึกว่าลูกดิ้นมากกว่าปกติ ทำให้แม่หลายคนคิดว่า อาจเป็นเพราะไปทับลูกทำให้ลูกดิ้นมากกว่าปกติ ในลักษณะหนีถูกทับหรือหนีตาย เป็นความเชื่อที่ผิด การที่ลูกดิ้นมากในขณะที่แม่นอนตะแคงเพราะ ขณะที่แม่นอนตะแคงมดลูกจะไม่กดทับเส้นเลือดดำใหญ่ที่รับเลือดจากส่วนล่างของร่างกายทั้งหมดที่ส่งกลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้เลือดถูกสูบฉีดจากหัวใจไปเลี้ยงลูกได้มากขึ้น ทำให้ลูกได้รับสารอาหารได้ดีขึ้น จึงรู้สึกมีแรงและพลังงานสูง และดิ้นมากขึ้น เหมือนหลังทานอาหารใหม่ๆ ที่จะรู้สึกว่าลูกดิ้นมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงให้คุณแม่ทุกคนนอนตะแคงตลอดเวลา เพราะการนอนท่าหนึ่งท่าใดนานๆ จะทำให้เกิดจุดกดทับ ทำให้เจ็บซี่โครงหรือสะโพกได้ คนท้องจึงควรนอนในลักษณะที่มีการเปลี่ยนอริยาบทบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงจุดกดทับดังกล่าว การนอนตะแคงจึงเหมาะสำหรับ แม่ที่นอนรอคลอดในช่วงระหว่างเจ็บครรภ์ในห้องคลอด เพราะช่วงนั้นจะมีการบีบตัวของมดลูกทำให้เลือดไปเลี้ยงลูกน้อยลง การนอนตะแคงจึงช่วยเพิ่มเลือดให้ลูกได้ดีในช่วงเวลาดังกล่าว



การดิ้นของทารกในครรภ์ เป็นสิ่งที่แม่ควรให้ความสำคัญ และสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นสิ่งที่บอกถึงสัญญาณชีพ ของทารกในครรภ์ ที่สัมผัสและรับรู้ได้จากตัวของแม่เอง ดังนั้นคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการเริ่มนับลูกดิ้น ในระยะเวลาที่เหมาะสม ตามที่แพทย์แนะนำ โดยถ้าคุณพ่อต้องการมีส่วนช่วยในการนับก็ไม่ถือว่าผิดกติกาใดๆ






โดย นพ.นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข
 
 


 
 
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น